สารบัญบทความ
แบตเตอรี่เป็นส่วนประกอบของรถยนต์ที่สำคัญมาก หากแบตเตอรี่หมดหรือแบตเตอรี่มีปัญหา รถยนต์ของเราจะไม่สามารถวิ่งต่อไปได้ ซึ่งเราต้องมีการรู้จักแบตเตอรี่ในเบื้องต้น เพื่อดูแลรักษาให้สามารถใช้รถยนต์ได้อย่างปลอดภัยและต้องรู้ว่าแบตเตอรี่ของเรานั้นมีอายุการใช้งานได้กี่ปี ซึ่งวันนี้ Fasttabien มีคำตอบมาให้ในบทความนี้แล้ว ไปอ่านกัน
ประเภทของแบตเตอรี่
แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่แตกต่างกันไป ซึ่งแต่ละประเภทของแบตเตอรี่ มีทั้งหมด 4 ประเภท ดังนี้
- แบตเตอรี่แบบธรรมดา หรือ แบตเตอรี่ชนิดน้ำ มีอายุการใช้งานประมาณ 2-3 ปี เป็นแบตเตอรี่ที่ทนต่อความร้อนสูง แต่ข้อเสียคือจะเกิดความร้อนสูงขณะชาร์จแบต เวลาใช้งานไปนาน ๆ จะต้องเติมน้ำกลั่นลงไปแทน และเป็นแบตเตอรี่ราคาไม่แพง เหมาะกับใช้งานในรถยนต์ทั่วไป
- แบบเตอรี่แบบแห้ง มีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี ราคาค่อนข้างสูง เพราะเป็นแบตเตอรี่ที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ทำให้สะดวกสบายไม่ต้องมาคอยเติมน้ำกลั่น และทนต่อความร้อนสูง เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลรถยนต์และไม่ค่อยมีความรู้เรื่องแบตเตอรี่
- แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง มีอายุการใช้งานประมาณ 2-3 ปี ราคาไม่แพง เป็นแบตเตอรี่ที่ต้องมีการตรวจเช็คน้ำกลั่นปีละ 1-2 ครั้ง และเป็นแบตเตอรี่ที่มีความทนทานกว่าแบตเตอรี่ธรรมดา เหมาะกับใช้งานในรถบรรทุก รถรับจ้าง เป็นต้น
- แบตเตอรี่แบบไฮบริด มีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี แบตเตอรี่แบบไฮบริดเป็นลูกผสมของแบตเตอรี่แบบกึ่งแห้งและแบตเตอรี่แบบน้ำ เป็นแบตเตอรี่ที่มีราคาถูกกว่าแบตเตอรี่แบบแห้งแต่แพงกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ มีขนาดใหญ่ ต้องหมั่นเติมน้ำกลั่นทุก 6-9 เดือน
แบตเตอรี่รถยนต์ใช้ได้กี่ปี
แบตเตอรี่แต่ละประเภทมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกันไป ซึ่งเฉลี่ยประมาณ 2-5 ปี หากมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดีจะเพิ่มอายุการใช้งานได้ และยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติได้ ดังนี้
- สภาพอากาศ หากแบตเตอรี่อยู่ในอุณหภูมิที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด จะทำให้แบตเตอรี่ลดประสิทธิภาพลงและเสื่อมสภาพได้
- การขับรถในระยะทางที่สั้น ทำให้การชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ในระหว่างการขับขี่นั้นไม่เพียงพอ แบตเตอรี่จึงเสื่อมสภาพเร็ว
- จอดรถทิ้งไว้ในระยะเวลานาน ๆ แบตเตอรี่ไม่ได้ทำงาน อาจทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่สั้นลงได้
วิธีดูแลรักษาแบตเตอรี่
แบตเตอรี่จะมีการเสื่อมสภาพลงนับตั้งแต่เริ่มใช้งาน หากเราดูแลรักษาอย่างดีจะสามารถยืดอายุการใช้งานได้ ซึ่งทำได้ดังนี้
- รักษาความสะอาดของแบตเตอรี่ ไม่ให้เกิดสนิม
- หากไม่ได้ใช้งานรถยนต์นาน ๆ ให้ปลดขั้วแบตเตอรี่ทั้งขั้วบวกและขั้วลบออก
- ไม่ควรจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ ควรขับรถออกไปใช้งานอย่างน้อย 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
- หมั่นตรวจเช็คระดับน้ำในแบตเตอรี่ กรณีแบตอรี่แบบน้ำต้องเติมน้ำกลั่น
- ตรวจเช็คตาแมว กรณีแบตเตอรี่แบบแห้ง เช็คสีของตาแมว ซึ่งแต่ละสีมีความหมายแตกต่างกัน คือสีน้ำเงินแสดงว่าแบตเตอรี่ปกติ สีแดงคือแบตเตอรี่มีปัญหา สีขาวคือแบตเตอรี่เสื่อม
วิธีเช็คแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม
- รถสตาร์ทเครื่องติดยาก เสียงสตาร์ทเอื่อยๆ ติดขัด
- ระบบไฟในรถเริ่มมีปัญหา เช่น ไฟสว่างน้อยลง กระจกไฟฟ้าไม่ทำงาน
- เสียงแตรรถยนต์เบาหรือดังกว่าปกติ
- มีสัญลักษณ์รูปเครื่องยนต์ หรือ Check Engine เตือนขึ้นที่หน้าปัดรถยนต์
- มีของเหลวรั่วไหลออกจากตัวแบตเตอรี่
เมื่อรถยนต์สตาร์ทไม่ติด แต่ต้องการใช้รถยนต์ สิ่งที่ต้องทำคือนำรถยนต์ที่แบตเตอรี่ปกติ มาช่วยจัมป์แบตเตอรี่ที่หมด ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ในระหว่างนี้ ไม่ควรทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดประกายไฟ เมื่อรถสตาร์ทติดแล้ว จะสามารถวิ่งได้ปกติ แต่ขอแนะนำให้ไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่จะดีที่สุด
หากสำหรับใครสนใจเลขทะเบียนมงคล เลขทะเบียนสวย ผลรวมดี เสริมดวงชะตาชีวิต ราคาเบา ๆ เราขอแนะนำบริการ รับจองเลขทะเบียนกรุงเทพฯ การันตีไวกว่าจองเองเพียง 36 วิ จองสำเร็จจ่ายเงินทีหลัง ปลอดภัยแน่นอน สนใจใช้บริการหรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม Click >> จองทะเบียนรถ