สารบัญบทความ
หากคุณเป็นมือใหม่ที่ออกรถใหม่ คงสับสนว่าต้องเติมน้ำมันชนิดไหน บางคนอาจเติมตามคำแนะนำจากศูนย์ หรือแม้กระทั้งคนที่มีรถแล้วแต่อยากเปลี่ยนไปใช้น้ำมันชนิดอื่น ๆ เพราะอาจด้วยหลายๆเหตุผลที่เปลี่ยนเช่น ราคาอาจถูกกว่าตัวที่เติมปัจจุบันหรืออยากเปลี่ยนเพราะอยากให้เครื่องแรงขึ้นก็ตาม วันนี้ Fasttabien ได้นำความรู้เรื่องชนิดน้ำมันเชื้อเพลิง หากเติมน้ำมันผิดทำอย่างไร มาฝากกันค่ะ
น้ำมันรถชนิดไหนเหมาะสมกับรถคุณ?
น้ำมันรถยนต์มีกี่ประเภท
น้ำมันรถยนต์ หรือ น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้กับรถยนต์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. น้ำมันเบนซิน
- น้ำมันเบนซินธรรมดา (REGULAR MOTOR GASOLINE) มีเลขจำนวนออกเทน 91 (สีแดง) ประกอบด้วยส่วนผสมจากน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วและค่าออกเทน 91 ไม่มีส่วนผสมของเอทิลแอลกอฮอล์ใด ๆ เหมาะกับเครื่องยนต์เบนซินที่มีอัตราส่วนกำลังอัดต่ำกว่า 8:1
- รถยนต์ที่เติมน้ำมันเบนซินธรรมดาได้ เช่น รถยนต์นั่งขนาดเล็ก รถมอเตอร์ไซค์ เครื่องยนต์ขนาดเล็ก (เครื่องปั๊มน้ำขนาดเล็ก, เครื่องปั่นไฟ)
- น้ำมันเบนซินพิเศษ (PREMIUM MOTOR GASOLINE) มีค่าออกเทนนัมเบอร์ 95 สูงที่สุด (สีเหลืองอ่อน) ประกอบด้วยส่วนผสมจากน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วและค่าออกเทน 95 เหมาะกับเครื่องยนต์เบนซินที่มีอัตราส่วนกำลังอัดสูงกว่า 8:1 ขึ้นไป น้ำมันเบนซินนั้นจะให้การเผาไหม้ดี ตอบสนองกาทำงานของเครื่องยนต์ดี แต่มีราคาจำหน่ายสูง
- รถยนต์ที่เติมน้ำมันเบนซินพิเศษได้ เช่น รถยนต์นั่งทั่วไป รถบรรทุกเล็ก รถมอเตอร์ไซค์ เป็นต้น (รถยนต์เกือยทุกประเภท)
2. น้ำมันแก๊สโซฮอล์
น้ำมันแก๊สโซฮอล์ คือ เชื้อเพลิงที่ได้จากแอลกอฮอล์สกัดจากพืช ซึ่งเรียกว่า “เอทานอล” มีสัญลักษณ์คือตัว E มาผสมกับน้ำมันเบนซิน จนกลายมาเป็นพลังงานทดแทนแก๊สโซฮอล์ โดยแบ่งได้เป็น 4 ประเภทคือ
- น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 (E10) คือ น้ำมันเบนซิน 91 ในอัตรา 9 ส่วน ผสมกับเอทานอลหรือเอทิแอลกอฮอล์มีความบริสุทธิ์ 99.5% ในอัตรา 1 ส่วน โดยผสมได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์มีค่าออกเทน 91 ซึ่งน้ำมันแก็สโซฮอล์ 91 สามารถใช้ทดแทนน้ำมันเบนซิน 91 ได้ ไม่มีผลกระทบต่อสมรรถนะเครื่องยนต์และอัตราการเร่ง สามารถใช้ได้ทั้งรถคันเก่าและรถคันใหม่ ซึ่งค่าออกเทนต้องตรงกับที่คู่มือของรถยนต์คันนั้นๆ
- รถยนต์ที่เติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 (E10) ได้ เช่น Toyota Altis และ Toyota Vios เป็นต้น
- น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (E10) คือ น้ำมันเบนซิน 95 ในอัตรา 9 ส่วน ผสมกับเอทานอลหรือเอทิแอลกอฮอล์มีความบริสุทธิ์ 99.5% ในอัตรา 1 ส่วน โดยผสมได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์มีค่าออกเทน 95 ซึ่งค่าออกเทนนั้นมีค่าเช่นเดียวกับน้ำมันเบนซิน 95 แต่มีราคาจำหน่ายถูกว่าน้ำมันเบนซิน 95 หากจอดรถทิ้งไว้นานน้ำมันอาจระเหยได้ โดยควรใช้กับรถยนต์ที่ระบุให้ใช้กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 เท่านั้น
- รถยนต์ที่เติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (E10) ได้ เช่น Porsche, Toyota Alphard และ Toyota Harrier เป็นต้น
- น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 คือ น้ำมันเบนซิน 95 สูงถึง 80% ผสมกับเอทานอลหรือเอทิแอลกอฮอล์มีความบริสุทธิ์ 99.5% สูงถึง 20% ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ไม่ค่อยแตกต่างจากแก๊สโซฮอล์ 91 กับแก๊สโซฮอล์ 95 มากนั้น และมีราคาจำหน่วยค่อยข้างถูก ห้ามใช้กับรถรุ่นเก่า หรือรถที่ไม่ระบุคำว่า ใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E20 ได้ ห้ามนำมาเติมเด็ดขาด เพราะเอทิลแอลกอฮอล์ จะกัดกร่อนทำให้ ท่อยางหรือหัวฉีดเกิดการรั่ว จะทำให้รถยนต์เสียหายเร็วขึ้น เครื่องยนต์จะเร่งไม่ขึ้น มีการสะดุด สตาร์ทติดยาก
- รถยนต์ที่เติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้ เช่น Honda City , Toyota CH-R, Toyota Altis เป็นต้น
- น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 คือ น้ำมันเบนซิน 95 สูงถึง 15% ผสมกับเอทานอลหรือเอทิแอลกอฮอล์มีความบริสุทธิ์ 99.5% สูงถึง 85% เป็นเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Environmentally Friendly Fuel) เนื่องจากมลพิษที่ปล่อยจากไอเสียน้อยมากเมื่อเทียบกับเบนซิน ข้อดีของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 คือจำหน่ายในราคาที่ถูกมาก แต่ค่อยข้างเปลืองน้ำมันเพราะมีการเผาไหม้เร็ว และเอทิลแอลกอฮอล์จำนวนมากนี้ยังส่งผลต่อการกัดกรอนชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ทำให้เสื่อมสภาพเร็วอีกด้วย
- รถยนต์ที่เติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ได้ เช่น ควรใช้กับรถยนต์ที่มีการระบุชัดเจนว่าสามารถเติมได้ (รถยนต์รุ่นเก่าๆ ที่ต่ำกว่าปี 2012 จะไม่สามารถใช้ได้)
3.น้ำมันดีเซล
น้ำมันดีเซล (Diesel) เป็นน้ำมันที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ มีจุดเดือดสูงถึง 180- 370 องศาเซลเซียส ใช้เฉพาะเครื่องยนต์ดีเซล มีลักษณะสีใสออกเหลืองเล็กน้อย มีความหนืดมากกว่าน้ำมันเบนซิน โดยน้ำมันดีเซลแบ่งได้ 4 ประเภท คือ
- น้ำมันพรีเมี่ยมดีเซล มีราคาสูงสุดในกลุ่มน้ำมันดีเซล ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์พรีเมียมที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลส่วนใหญ่แนะนำให้เติมน้ำมันพรีเมียมดีเซลเท่านั้น เหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีความละเอียดอ่อน และคุณภาพน้ำมันดี สมรรถนะเครื่องยนต์ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ
- รถยนต์ที่เติมน้ำมันพรีเมี่ยมดีเซลได้ เช่น รถยนต์แบรนด์พรีเมียมที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล
- น้ำมันไบโอดีเซล B7 คือน้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซลลงไปประมาณ 6.6%-7.0% และสารเติมแต่งคุณภาพสูงที่ช่วยชะล้างทำความสะอาดเครื่องยนต์ ป้องกันการเกิดสนิม ลดมลพิษ
- รถยนต์ที่เติมน้ำมันไบโอดีเซล B7 ได้ เช่น รถเก่า หรือรถยุโรปที่ไม่รองรับ B10 คือ Benz, Hyundai, Tata, Bmw, Honda, Mazda, Audi เป็นต้น
- น้ำมันไบโอดีเซล B10 คือ น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซลลงไปประมาณ 9 – 10% ซึ่งตอนนี้ถือเป็นน้ำมันดีเซลเกรดมาตรฐานของไทย
- รถยนต์ที่เติมน้ำมันไบโอดีเซล B10 ได้ เช่น รถกระบะทั่วไป และไม่ได้เป็นรถเก่า เช่น Toyota, Izusu, Nissan, Ford, Chevrolet, Mitsubishi เป็นต้น
- น้ำมันไบโอดีเซล B20 คือน้ำมันดีเซล 80% ผสมไปโอดีเซล 20% เป็นน้ำมันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายเองได้ตามกระบวนการชีวภาพ มีราคาจำหน่ายค่อนข้างถูก
- รถยนต์ที่เติมน้ำมันไบโอดีเซล B20 ได้ เช่น รถบรรทุกขนาดใหญ่ และรถกระบะ ที่มีการระบุชัดเจนว่าสามารถเติมได้
เติมน้ำมันผิด ทำอย่างไรดี?
การเติมน้ำมันผิดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ หากรู้วิธีแก้ปัญหากู้สถานการณ์จากการเติมน้ำมันผิด รถจะไม่พังอีกต่อไป แก้ปัญหาได้ดังนี้
- ห้ามสตาร์ทเครื่องยนต์โดยเด็ดขาด เพราะการสตาร์ทรถจะทำให้น้ำมันไหลเข้าไปในเครื่องยนต์ จะมีผลกระทบกับหัวเทียน ไส้กรอง หรือเครื่องยนต์ส่วนอื่น ๆ ดังนั้นจึงไม่ควรสตาร์ทรถ
- ถ่ายน้ำมันที่อยู่ในถังออกให้หมด ต้องอาศัยความช่วยเหลือของช่างที่มีประสบการณ์ เพราะต้องใช้แม่แรงยกรถขึ้น
- เติมน้ำมันที่ถูกชนิดเข้าไปแทน แล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อสังเกตว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่
- ทดสอบระบบเครื่องยนต์ ลองขับรถช้า ๆ หากระบบปกติ สามารถใช้งานรถยนต์ได้เลย
เติมน้ำมัน “เต็มถัง หรือ ครึ่งถัง” แบบไหนประหยัดน้ำมันกว่ากัน
หากเติมน้ำมันครึ่งถังเป็นประจำไม่สามารถช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้หรือถ้าหากเติมน้ำมันในถังน้อยจนเกินไป จะส่งผลให้กลไกลูกลอยวัดระดับน้ำมันเชื้อเพลิงในถังเกิดความเสียหาย แต่ถ้าหากเติมน้ำมันในขณะที่น้ำมันเกือบเต็มถังหรือเติมน้ำมันมากเกินไป ไอระเหยของน้ำมันจะทำให้ระบบเครื่องยนต์มีปัญหา เช่น น้ำมันอาจจะซึมหรือกระฉอกออกมาจากฝาถังน้ำมันในขณะที่กำลังขับรถทำให้เกิดอันตรายได้
วิธีการเติมน้ำมันที่ถูกต้อง คือ ควรเติมน้ำมันให้เกินสามส่วนสี่ของถังน้ำมันอย่างสม่ำเสมอหรือรอให้น้ำมันเหลือ หนึ่งส่วนสี่ของถังก่อนค่อยเติมน้ำมันเพราะจะช่วยถนอมและรักษาเครื่องยนต์
เติมน้ำมันต้องดับเครื่องยนต์ทุกครั้งหรือไม่?
ในขณะที่เติมน้ำมันควรจะต้องดับเครื่องยนต์ทุกครั้ง เพราะเป็นกฎที่สถานีบริการน้ำมันต้องบอกให้ปฏิบัติทุกครั้งเมื่อเราเติมน้ำมัน ซึ่งกฎนั้นมีทั้ง ดับเครื่องยนต์ทุกครั้งขณะเติมน้ำมัน, ห้ามสูบบุหรี่ขณะเติมน้ำมัน, ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือขณะเติมน้ำมัน, และห้ามก่อประกายไฟอย่างเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัย หากไม่ปฎิบัติตามอาจเกิดอันตรายได้
การเติมน้ำมันให้ถูกวิธีทำไดง่าย ๆ ใช่ไหมคะ ต่อไปนี้คุณสามารถเติมน้ำมันที่เหมาะกับรถของคุณได้โดยที่เครื่องยนต์ยังทำงานได้เต็มประสิทธภาพแน่นอนค่ะ และสำหรับใครกำลังมองหาเลขทะเบียนรถยนต์ใหม่สวย ๆ เลขมงคล เสริมชีวิต ราคาเบา ๆ ขอแนะนำบริการ รับจองเลขทะเบียนกรุงเทพฯ การันตีไวกว่าจองเองเพียง 36 วิ สนใจใช้บริการ หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม Click >> จองทะเบียนรถ